Assumption University

Quelle heure est-il????

++ My musiC ++

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาวๆที่หลงไหลความขาวจากกลูต้าไธโอน

ไขความจริง 'กลูตาไธโอน' สารทำให้ผิวขาว

หลายคนคงเคยได้ยินข่าวการฉีดสารกลูตาไธโอน สารที่ทำให้ผิวขาวกันมาบ้างแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่า สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกาย และเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย การฉีดสารดังกล่าวเข้าไปอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบได้ จริงอยู่ที่สารกลูตาไธโอนทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่ก็มีโทษอยู่เหมือนกัน และจะยิ่งอันตรายหากฉีดสารกลูตาไธโอนด้วยตัวเอง ดังนั้น คอลัมน์ “หมอรามาฯไขปัญหาสุขภาพ” วันนี้ จะมาเผยความจริงของสารกลูตาไธโอนเพื่อให้เป็นข้อมูลการตัดสินใจก่อนที่ใครหลายคนจะเริ่มฉีด

กลูตาไธโอนคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่

กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง จากอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผักผลไม้ประเภท หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด และวอลนัท ร่างกายจะเก็บกลูตาไธโอนที่สร้างขึ้นไว้ที่ตับ สามารถพบกลูตาไธโอนได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย

กลูตาไธโอนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีและอีได้มากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยผ่านการสร้างเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ และช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย

ใช้ในทางการแพทย์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวจริง หรือไม่

มีรายงานการใช้ในรูปแบบฉีดหลายกรณี ทั้งใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดระหว่างผ่าตัด รักษาโรคทางระบบประสาท ขับพิษจากโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยาพาราเซตามอลเกินขนาด ใช้เพิ่มภูมิต้านทานในผู้ป่วยเอดส์และมะเร็ง ในบางประเทศได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยาบางประเทศอนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริม แต่สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยา และไม่อนุมัติให้ใช้สารชนิดนี้ในรูปแบบฉีด

หากถามว่าช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่ ต้องบอกว่า เดิมทีกลูตาไธโอนถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเพิ่มภูมิต้านทาน รักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่กลับพบว่าผู้ป่วยมีผิวขาวขึ้น มีสีผมอ่อนลงหลังฉีดยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หากร่างกายได้รับกลูตาไธโอนมากเกินไป ก็จะไปกดการสร้างเม็ดสีของผิวทำให้ผิวขาว ซึ่งอธิบายได้จาก

ปกติในร่างกายคนเรา เซลล์สร้างเม็ดสี (melano cyte) จะผลิตเม็ดสีเมลานินอยู่ 2 ชนิด ผิวคล้ำแบบคนเอเชียหรือคนไทย จะมีเม็ดสีขนาดใหญ่ เรียกว่า ยูเมลานิน (Eumelanin) คนผิวขาวแบบฝรั่ง จะมีเม็ดสีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เมื่อร่างกายเราได้รับ กลูตาไธโอนปริมาณมาก จะไปกดการสร้างยูเมลานินตามปกติลง เปลี่ยนเป็นสร้างฟีโอเมลานินเพิ่มขึ้นชั่วขณะ ผิวจึงดูขาวขึ้น แต่เนื่องจากกลูตาไธโอน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมของ เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์สร้างเม็ดสีก็กลับไปสร้างเม็ดสียูเมลานินมากตามปกติเหมือนเดิม

ดังนั้น ผู้ที่ฉีดกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จำเป็นต้องฉีดในปริมาณมากกว่าขนาดที่ใช้รักษาตามปกติหลายเท่าตัวเป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน จึงไม่จัดเป็นการดีท็อกซ์ และอาจมีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้

มีอันตรายจากการใช้ หรือมีผลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง

ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาใด ๆ ก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ ล้วนมีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้ตัวยาเอง หรืออาจจะแพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย สารปนเปื้อน ซึ่งจากรายงานในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไธโอนขนาดสูง มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นอกจากนี้ก็ยังพบว่า มีการนำสารกลูตาไธโอน ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมทั้งยาปลอมที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน มาจำหน่ายและใช้อย่างผิดกฎหมาย

การฉีดกลูตาไธโอน มักให้ร่วมกับวิตามินซีขนาดสูง เพื่อกระตุ้นให้ ออกฤทธิ์ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึน ศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้ หากใช้ กลูตาไธโอนในผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้ประสิทธิภาพของเคมีบำบัดลดลง การได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก มีผลทำให้ขบวนการต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเสียสมดุล กลายเป็นอนุมูลอิสระ กลับมาทำร้ายร่างกายได้

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัจจุบันมีการ โฆษณาขายกลูตาไธโอนอย่างแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ตราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ที่มีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาว เกิดความสนใจและซื้อหาไปทดลองฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ และปัญหา อื่น ๆ ตามมาอีกมาก

ข่าวที่ออกมาว่าใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง จริงหรือไม่

สำหรับข่าวการใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง สามารถอธิบายได้ว่า การที่ร่างกายได้ รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานิน ทั้งที่ผิวหนังและที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจึงได้จัดว่า สารกลูตาไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา ส่วนเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง จะทำหน้าที่เหมือนฟิล์มกรองแสงที่ผิวหนัง หากเม็ดสีที่ผิวหนังลดลง ร่างกายก็ขาดเกราะป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็ว และแก่เร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ดังนั้น ถึงแม้ตัวสาร กลูตาไธโอนเองจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตปริมาณมากกลับอันตรายยิ่งกว่า

เหตุใดจึงต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรง

กลูตาไธโอนมีทั้งชนิดฉีด ชนิดพ่น และชนิดรับประทาน ซึ่งอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสารชนิดนี้ หากรับประทานจะถูกย่อยไปก่อนการดูดซึม จึงมีผู้พยายามลองใช้ในปริมาณสูง ๆ เพื่อหวังว่าจะดูดซึมได้บ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาใดบอกว่า ต้องกินมากแค่ไหนจึงจะดูดซึมได้ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณที่กินมาก ๆ นั้น จริง ๆ แล้วดูดซึมได้หรือเปล่า และผลข้างเคียงระยะยาวมีอะไรบ้าง

ส่วนยาชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือดโดยตรง น่าจะเพิ่มขนาดยาได้แน่นอนกว่า แต่ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ กลูตาไธโอนชนิดฉีดมีใช้ในคลินิกเอกชนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว นอกจากนี้ การฉีดยังเป็นการ เพิ่มสารกลูตาไธโอนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้น สีผิวก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม จึงต้องทำให้ฉีดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

สุดท้ายนี้ ผู้บริโภคไม่ควรตกเป็นเหยื่อของคำโฆษณาใด ๆ ที่อวดอ้างว่าจะสามารถช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาที่ใช้ อาจช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ ร่างกายก็กลับไปผลิตเม็ดสีตามปกติ ทั้งนี้การที่ประชาชนในแถบเอเชียหรือประเทศเขตร้อน มีผิวคล้ำ ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังของเราน้อยกว่าคนผิวขาว จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ผิดธรรมชาติ.

อ.พญ.ชนิตว์วัณณ์ ตรีวิทยาภูมิ
หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล


ที่มาจากหนังสือพิมพ์ :
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

ขอขอบคุณที่มาจาก

http://talk.mthai.com/topic/62800

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เบื้องหลังการถ่ายทำรายการ OIC 11-12-52


















ประกาศ

พั้นช์ วรกาญจน์ โรจนวัชร

ได้ออกอัลบัมใหม่แล้ว ชื่ออัลบัม พั้นช์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อัลบัมที่ 5

ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2552

ผู้ใดสนใจ สามารถ โหลดลงมือถืออย่างถูกลิคสิทธิ์ได้ที่ *1230509 แล้วกดโทรออก

หรือ ซื้อแผ่น CD ได้ที่ ร้านขาย CD ชั้นนำ ทั่วไป

ชื่ออัลบัม พั้นช์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อัลบัมที่ 5

ขอบคุณที่สนับสนุนแผ่นแท้ เพื่อศิลปินที่เราชื่นชอบ

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพ่อ 5 ธันวาคม 2552










5/12/52 11.57 น. “ในหลวง” ทรงแนะประชาชนตั้งใจทำหน้าที่ตนเอง เพื่อบ้านเมืองของเรา ความสุขของข้าพเจ้าคือบ้านเมืองปกติสุข


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ ใจความว่า

“ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิต พรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง ซึ่งปราถนาดีมุ่งหมายให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความสวัสดีด้วยประการต่างๆ ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงไปได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้ผิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น

จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน หมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วทำตั้งจิต ตั้งใจ ให้เที่ยงตรงหนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง อันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญ มั่นคง ยั่งยืนไป

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลให้สัมฤทธิผลขึ้นแก่ท่าน ทั่วหน้ากัน”

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ในหลวง...ที่สุดของหัวใจ

...เรื่องราวต่อไปนี้เป็นตอนหนึ่งในสี่สิบเรื่องของหนังสือ " ที่สุดของหัวใจ "ที่เป็นความผูกพันของคนไทยกับในหลวงซึ่งประทับอยู่ในหัวใจของผู้ที่ได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท

...อ่านแล้วไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดคนไทยถึงรักในหลวงได้มากมายถึงเพียงนี้ ด้วยรู้แล้วว่าในหลวงพระองค์นี้ทรงรักประชาชนยิ่งกว่าพระองค์เอง


น้ำลด หรือ ยัง โดย ถาวร ชนะภัย

...หลายปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เป็นช่วยเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ๆ ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให็ฟังว่า แม้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังไม่เสด็จขึ้นห้องพระบรรทม แต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่อยู่อย่างใกล้ชิด
ด้วยทรงห่วยใยราษฏรจึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เอง ถามไปทางหาดใหญ่ว่า " น้ำลดแล้วหรือยัง "โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์เมื่อเวลาตีสองตีสาม มีข้อความที่ตอบด้วยความไม่พอใจว่า " ถามอะไรอยู่ได้ ดึกดื่นป่านแล้ว คนเขาจะหลับจะนอน" แต่ตอนท้ายของคำตอบก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า น้ำลดแล้ว "


ไม่ต้องกั้น โดย ด.ร.สุเมธ ตันติเวชกุล

...... มีอยู่ครั้งหนึ่ง เสด็จฯไปที่เซ็นทรัล วันที่มีประชุมรัฐสภาโลก วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนน ฝนตก ผมก็มีวิทยุ เลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย "วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ"ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฏรอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาล ถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีก สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนทรงวิทยุบอกตำรวจว่า " ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชน ไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน "


ลุงวาเด็ง......โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์

......วันนี้ลุงวาเด็งพาแววตาที่เป็นประกายมาเฝ้าฟระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยชุดเต็มยศ ครึ่งท่อนคือ สวมกางเกงตัวเดียวไม่สวมเสื้อ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้วที่สามัญชนคนธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์
บอกเล่าความทุกข์สุขกับพระเจ้าแผ่นดินของเขาได้อย่างเสมอภาคกันถ้วนหน้าเช่นนี ลุงวาเด็งดีใจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงหน้าบ้าน จึงเหลียวซ้ายแลขวาหลายครั้งผิดปกติ ในที่สุดก็ได้กราบบังคมทูลอย่างฉะฉานว่า "พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทั้งทีไม่มีอะไรจะถวาย ผลไม้ในสวนเพิ่งเก็บขายไปได้เงินมาสองหมื่นบาทก็นำเงินไปซื้อเครื่องปั๊มน้ำมาได้ 1 เครื่อง ถอดเอาขึ้นรถและขนไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว "


ข้าวผัดไข่ดาว......โดย ด.ร.สุเมธ ตันติเวชกุล

......วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลัยไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาทเพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง
.... เราก็ไม่ได้ทานข้าว ไม่มีใครทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาที น่าจะพุ้ยข้าวทัน
ก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระบะ กับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ เราก็ตัก เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเรา ไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่ เพื่อนผมก็จะไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า " ไม่ได้ ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก " ดูสิครับ ตักมาจากก้นกระบะเลย ผมนี่น้ำตาแทบไหลเลย ท่านเสวยเหมือนๆกันกับเรา......

---->ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดที่จะทรงงานหนักเท่ากับกษัตริย์ของไทยพระองค์นี้อีกแล้ว เพราะฉนั้น...พวกเราพสกนิกรชาวไทย
ก็ควรจะรักในหลวงให้มากๆ ไม่ทำให้พระองค์ท้านลำบากหรือหนักพระทัย แค่นั้น...พระองค์ท่านก็ความสุขมากแล้ว<----

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมื่อวานได้ไปลอยกระทงกันมั้ยค่ะ

เราไปลอยกระทงที่วัดเกาะวังไทรมา ไปดูพี่พ้นช์มาด้วย ๕๕๕+















วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

--ดัน"สกอ."หน่วยงานกลางรับตรง อธิการบดีชี้ดีกว่าแอดมิสชั่นส์--

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ประชุมเชิงนโยบายเพื่อระดมความคิดเรื่อง "การพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนไทย" ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธาน ได้มีข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ให้มหาวิทยาลัยลดสัดส่วนการรับนักศึกษาด้วยวิธีการรับตรงลงเหลือร้อยละ 50 รวมถึงให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่ประสานการรับนักศึกษาโดยวิธีรับตรง เพื่อแก้ปัญหานักศึกษาวิ่งรอกสมัครและสละสิทธิที่นั่งภายหลังว่า ตนได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปพิจารณารับหน้าที่การประสานงานการรับตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆ เหมือนในประเทศอังกฤษที่มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่นี้ โดยให้นักเรียนยื่นคะแนนและแจ้งความจำนงว่าจะเรียนในมหาวิทยาลัยไหน คณะวิชาใดบ้าง จากนั้นหน่วยงานกลางจะส่งข้อมูลของเด็กไปให้มหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นผู้พิจารณา ซึ่งตนได้ให้หลักการทาง สกอ.ไปว่า การทำหน้าที่ดังกล่าวต้องมีเป้าหมายให้นักเรียนสะดวก ประหยัด เป็นธรรม และมหาวิทยาลัยสามารถรับเด็กเข้าเรียนได้เต็มตามที่นั่งที่เปิดรับ

"การรับตรงถึงแม้ในนโยบายภาพรวมต้องการให้มีสัดส่วนการรับต่อการรับในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิสชั่นส์ เป็น 50:50 แต่ในข้อเท็จจริงรู้ดีว่า การจะให้ทุกมหาวิทยาลัยลดรับตรงเหลือร้อยละ 50 พอดี คงไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย เพราะมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ รวมถึงมหาวิทยาลัยในภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏ หากจะให้รับเด็กเข้าเรียนด้วยระบบแอดมิสชั่นส์ร้อยละ 50 ที่นั่งก็คงเหลือ จึงต้องดูความเหมาะสมและข้อเท็จจริงประกอบด้วย" นายชัยวุฒิกล่าว และว่า ตนเชื่อว่าสถานการณ์การรับตรงในปีการศึกษา 2553 นี้ คงจะสูงที่สุด แต่ในปี 2554 เป็นต้นไปจะเริ่มลดลง เพราะมีการปรับองค์ประกอบและค่าน้ำหนักของระบบแอดมิสชั่นส์ตามที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องการแล้ว อีกทั้งขณะนี้ สกอ.ก็กำลังดูเรื่องการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานประสานงานการรับตรงอยู่ด้วย

นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ตนได้หารือเรื่องดังกล่าวกับนายชัยวุฒิแล้ว จากนี้ สกอ.จะศึกษารายละเอียดและรวบรวมข้อมูล ว่าสามารถทำได้หรือไม่

ด้านนายช่วงโชติ พันธุเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (มร.สส.) กล่าวว่า เมื่อให้มหาวิทยาลัยมีอิสระทางวิชาการแล้ว ก็ควรปล่อยให้มีอิสระในเรื่องรับนักศึกษาด้วย ไม่ใช่มาจำกัดสัดส่วนการรับตรง ประกอบกับที่ผ่านมามีการรับผ่านระบบแอดมิสชั่นส์มาโดยตลอด แต่ก็ไม่อาจการันตีได้ว่านักศึกษาจะไม่ออกกลางคัน หรือถูกรีไทร์ ในขณะที่การคัดเลือกด้วยวิธีรับตรงทุกมหาวิทยาลัยต่างพยายามคัดเลือกเด็กที่มีคุณภาพมากที่สุดเข้ามาเรียน จึงอาจจะดีกว่าระบบแอดมิสชั่นส์

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สุดยอดโทรศัพท์ล้ำสมัย

Cool Weather Cell Phone Concept

Window Phone ตัวนี้เป็นคอนเซฟดีไซน์ โดย Seunghan Song ครับ ซึ่งออกมาเพื่อดูความเป็นไปของอากาศภายนอก แถมยังเป็นโทรศัพท์ได้ด้วย สุดยอดความล้ำสมัยจริงๆ


วันนี้อากาศดี



หรือวันนี้ฝนตก



หรือหมอกลงดีนะเนี่ย



โหมดการโทร



หากต้องการใช้นิ้วเขียน คุณต้องเป่าแบบนี้ครับ



จะส่งเมสเซสก็ทำได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เทศกาลงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 52




เทศกาลงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 52


นครปฐม-จังหวัดนครปฐมเตรียมจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2552 ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2552 รวมงาน 9 วัน 9 คืน


ภูมิหลัง
งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ครั้งใหญ่แล้ว ยังให้ขุด "คลองเจดีย์บูชา" ตั้งแต่บ้านท่านามาจนถึงกลางเมืองนครปฐม เพื่อใช้เป็นเส้นทางมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์อีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้า ให้ดำเนินการปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์สืบต่อมา และงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ก็จัดขึ้นเป็นประจำ


สำหรับการจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2552 ในปีนี้

พระธรรมปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ประธานจัดงานเทศกาลนมัสการ องค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2552 กล่าวว่า องค์พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เป็นปูชนียสถาน ที่สำคัญยิ่งเป็นศูนย์รวมแห่งสถาบันสำคัญทั้งสาม คือสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจดีย์ที่ก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอายุนับพันปีภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ครั้งโบราณได้กำหนดการจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันเพ็ญกลางเดือน 12 เป็นประจำทุกปี ประเพณีสืบทอดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อจะได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ประหนึ่งมาเฝ้าอยู่เบื้องพระยุคลบาทแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงนับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ สุด และอีกประการหนึ่งก็เพื่อจะได้ช่วยกันบริจาคเงินสมทบทุนไว้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ให้ยืนยงคงอยู่ตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รวมพลคนชื่อแปลกในประเทศไทย

สายใจ เกาะมหาสนุก

สมศักดิ์ หวังกระแทกคาง

หวังนที จู๋ยืนยง

ณรงค์ นัดใช้ปืน

กันภัย สูญสิ้นภัย

อูโน่ หลาวทอง

ท้ายรถ (ชื่อคน)

อธิป จู๋กระจ่าง

ศักดิพันธ์ ชอบนอนหงาย

บรรจง หนึ่งในยุทธจักร

กนกกร เม่งเวหา

รรรรรร (อ่านว่า ระ-รัน-รอน)

ท่านฮ่องเต้ สมลุนาวัน

นารัตน์ พัดลม

พล.อ.การุณ เก่งระดมยิง

ลำเทียน จ้องผสมพันธุ์

มนศักดิ์ กางมุ้งคอย

นส. ชะรอยจุติมา (ชื่อ)

นส. แลคโตเย่น (ชื่อ)

ดินทะยาน แจงใส

สร้อยเหม็น ฟางน้อย

ไพรัตน์ หม้อน้ำร้อน

ภาคภูมิ ด้วนรู้ที่

หรูหรา ออมตอง

วรุณนาโศรก จันทรคดี

หรินาท ปรปักษ์เป็นจุล

ชัยยศ พรหมจารีย์พินาศ

ชาติหมา(ชา-ติ-หะ-มา) นามสกุลพระราชทาน

วรต อกระโทก

( ชื่อ)บริสุทธิ์ (ตอนโทรสับ มักถามว่า...บริสุทธิ์อยู่มั้ย ?)

นักรบ ชนะราวี (พี่)

สงคราม ชนะราวี (น้อง)

นิธินัย เหินเวหา

ติ๊บ บุญนำ

แคน อัครฮาก

อ๊อด ไชโย

บารมี สมาธิปัญญา

( ชื่อ)บานพับ

บรรพต เจ็ดพี่น้องร่วมใจ

ชาติชาญ เล่นเอาขำ

บุญศรัทธา มหามงคล

หินชนวน อโศก

บุญพอ มีเท

จันมี โถรองมูล

( ชื่อ)สามศร (อันนี้ครูฝรั่งเรียกแล้วฮามากก)

นนนที ปล้ำกะโทก

การหาญ โดนอม (อ่านว่า โด-นอม)

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เบรนพอร์ต ช่วยคนตาบอดมองเห็นผ่าน ‘ลิ้น’

เดลิเมล์ – นักวิจัยเมืองลุงแซมพัฒนาอมยิ้มอิเล็กทรอนิกส์ที่จะช่วยให้คนตาบอด ‘มองเห็น’ ผ่าน ‘ลิ้น’ คาดนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้
นวัตกรรมนี้จะแปลงภาพที่กล้องขนาดจิ๋วจับเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ลิ้นสามารถรู้สึกได้ จากนั้น เส้นประสาทจะส่งข้อความไปยังสมองที่จะเปลี่ยนสัญญาณดังกล่าวกลับมาเป็นภาพอีกครั้ง
หลังจากทดลองใช้เพียงวันเดียว อาสาสมัครสามารถมองเห็นรูปทรง ความเคลื่อนไหว และอ่านป้ายสัญญาณได้ บางคนใช้เวลาฝึกแค่ 15 นาทีเท่านั้น
อุปกรณ์ ‘เบรนพอร์ต’ ที่คาดว่าจะสามารถนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการแทนที่สุนัขนำทางหรือไม้เท้า แต่จะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อยกระดับชีวิตของผู้มีปัญหาสายตา
ดร.วิลเลียม ไซเปิล จากไลท์เฮาส์ อินเตอร์เนชันแนล องค์กรวิจัยและส่งเสริมสุขภาพดวงตา ที่ทำการทดสอบอุปกรณ์นี้ เล่าว่าอาสาสมัครตาบอดสี่คนเรียนรู้วิธีค้นหาประตูทางออกและปุ่มบนลิฟต์ เลือกหยิบมีด ส้อมและถ้วยกาแฟบนโต๊ะอาหาร อ่านตัวหนังสือและตัวเลขได้อย่างรวดเร็ว
“ตอนแรกผมยังงงๆ ว่าเบรนพอร์ตจะทำอะไรได้ จนกระทั่งอาสาสมัครคนหนึ่งร้องไห้ออกมาหลังจากมองเห็นตัวหนังสือครั้งแรก”
โรเบิร์ต เบ็กแมน จากไวแค็บ ผู้พัฒนาเบรนพอร์ต อธิบายว่า “อุปกรณ์นี้ช่วยให้คนตาบอดได้รับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวที่ปรากฏบนลิ้น ช่วยให้คนตาบอดสามารถระบุสิ่งของ เช่น ลูกบอล หรือสังเกตเห็นตัวหนังสือหรือตัวเลข อาจไม่ถึงขั้นอ่านหนังสือได้ แต่พวกเขาจะสามารถอ่านป้ายสัญญาณได้”
เบรนพอร์ตประกอบด้วยกล้องวิดีโอขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในแว่นกันแดดที่ผู้ใช้สวม สัญญาณจากกล้องจะถูกส่งผ่านสายเคเบิลไปยังอุปกรณ์ควบคุมแบบพกพาขนาดพอๆ กับโทรศัพท์มือถือ จากนั้นอมยิ้มที่อยู่บนลิ้นจะแปลงสัญญาณนั้นออกมาเป็นรูปทรง
ทั้งนี้ อุปกรณ์ควบคุมจะแปลงภาพเป็นภาพสีขาว-ดำ-เทาความละเอียดต่ำ ซึ่งจะถูกนำกลับมาสร้างใหม่เป็นตารางขั้วอิเล็กโทรด 400 ขั้ว ขนาดใกล้เคียงกับสแตมป์ บนอมยิ้ม
ขั้วอิเล็กโทรดแต่ละขั้วจะสั่นตามปริมาณแสง ณ จุดนั้นของภาพ สีขาวจะสั่นแรงที่สุด สีเทาสั่นอ่อนๆ ส่วนสีดำไม่มีสัญญาณใดๆ เลย
อุปกรณ์ควบคุมช่วยให้ผู้ใช้ซูมเข้า-ออก ปรับคอนทราสต์ของภาพและความแรงของสัญญาณการสั่น
แม้เริ่มแรกผู้ใช้ ‘รู้สึก’ ถึงภาพบนลิ้น แต่หลังจากฝึกใช้ จะสามารถเรียนรู้การกระตุ้นให้สัญญาณนั้นทำงานในส่วน ‘ภาพ’ ในสมอง
“เป็นภารกิจในการเรียนรู้ ซึ่งไม่ต่างจากการเรียนรู้วิธีขี่จักรยาน และคล้ายกับวิธีที่ทารกเรียนรู้ในการมองเห็น” เอมี อาร์โนลดัสเซน นักประสาทวิทยาศาสตร์ของไวแค็บที่ตั้งอยู่ในวิสคอนซิน สหรัฐฯ บอก
ขณะนี้ ไวแค็บกำลังยื่นเรื่องขออนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อนำเบรนพอร์ตออกจำหน่าย ซึ่งคาดว่าขั้นตอนนี้จะลุล่วงก่อนสิ้นปี โดยบริษัทมีแผนตั้งราคาอุปกรณ์พิเศษนี้ไว้ที่เครื่องละ 6,000 ปอนด์ (336,000 บาท)

เดลิเมล์ – นักวิจัยเมืองลุงแซมพัฒนาอมยิ้มอิเล็กทรอนิกส์ที่จะช่วยให้คนตาบอด ‘มองเห็น’ ผ่าน ‘ลิ้น’ คาดนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้


นวัตกรรมนี้จะแปลงภาพที่กล้องขนาดจิ๋วจับเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ลิ้นสามารถรู้สึกได้ จากนั้น เส้นประสาทจะส่งข้อความไปยังสมองที่จะเปลี่ยนสัญญาณดังกล่าวกลับมาเป็นภาพอีกครั้ง


หลังจากทดลองใช้เพียงวันเดียว อาสาสมัครสามารถมองเห็นรูปทรง ความเคลื่อนไหว และอ่านป้ายสัญญาณได้ บางคนใช้เวลาฝึกแค่ 15 นาทีเท่านั้น


อุปกรณ์ ‘เบรนพอร์ต’ ที่คาดว่าจะสามารถนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการแทนที่สุนัขนำทางหรือไม้เท้า แต่จะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อยกระดับชีวิตของผู้มีปัญหาสายตา


ดร.วิลเลียม ไซเปิล จากไลท์เฮาส์ อินเตอร์เนชันแนล องค์กรวิจัยและส่งเสริมสุขภาพดวงตา ที่ทำการทดสอบอุปกรณ์นี้ เล่าว่าอาสาสมัครตาบอดสี่คนเรียนรู้วิธีค้นหาประตูทางออกและปุ่มบนลิฟต์ เลือกหยิบมีด ส้อมและถ้วยกาแฟบนโต๊ะอาหาร อ่านตัวหนังสือและตัวเลขได้อย่างรวดเร็ว


“ตอนแรกผมยังงงๆ ว่าเบรนพอร์ตจะทำอะไรได้ จนกระทั่งอาสาสมัครคนหนึ่งร้องไห้ออกมาหลังจากมองเห็นตัวหนังสือครั้งแรก”


โรเบิร์ต เบ็กแมน จากไวแค็บ ผู้พัฒนาเบรนพอร์ต อธิบายว่า “อุปกรณ์นี้ช่วยให้คนตาบอดได้รับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวที่ปรากฏบนลิ้น ช่วยให้คนตาบอดสามารถระบุสิ่งของ เช่น ลูกบอล หรือสังเกตเห็นตัวหนังสือหรือตัวเลข อาจไม่ถึงขั้นอ่านหนังสือได้ แต่พวกเขาจะสามารถอ่านป้ายสัญญาณได้”


เบรนพอร์ตประกอบด้วยกล้องวิดีโอขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในแว่นกันแดดที่ผู้ใช้สวม สัญญาณจากกล้องจะถูกส่งผ่านสายเคเบิลไปยังอุปกรณ์ควบคุมแบบพกพาขนาดพอๆ กับโทรศัพท์มือถือ จากนั้นอมยิ้มที่อยู่บนลิ้นจะแปลงสัญญาณนั้นออกมาเป็นรูปทรง


ทั้งนี้ อุปกรณ์ควบคุมจะแปลงภาพเป็นภาพสีขาว-ดำ-เทาความละเอียดต่ำ ซึ่งจะถูกนำกลับมาสร้างใหม่เป็นตารางขั้วอิเล็กโทรด 400 ขั้ว ขนาดใกล้เคียงกับสแตมป์ บนอมยิ้ม


ขั้วอิเล็กโทรดแต่ละขั้วจะสั่นตามปริมาณแสง ณ จุดนั้นของภาพ สีขาวจะสั่นแรงที่สุด สีเทาสั่นอ่อนๆ ส่วนสีดำไม่มีสัญญาณใดๆ เลย


อุปกรณ์ควบคุมช่วยให้ผู้ใช้ซูมเข้า-ออก ปรับคอนทราสต์ของภาพและความแรงของสัญญาณการสั่น


แม้เริ่มแรกผู้ใช้ ‘รู้สึก’ ถึงภาพบนลิ้น แต่หลังจากฝึกใช้ จะสามารถเรียนรู้การกระตุ้นให้สัญญาณนั้นทำงานในส่วน ‘ภาพ’ ในสมอง


“เป็นภารกิจในการเรียนรู้ ซึ่งไม่ต่างจากการเรียนรู้วิธีขี่จักรยาน และคล้ายกับวิธีที่ทารกเรียนรู้ในการมองเห็น” เอมี อาร์โนลดัสเซน นักประสาทวิทยาศาสตร์ของไวแค็บที่ตั้งอยู่ในวิสคอนซิน สหรัฐฯ บอก


ขณะนี้ ไวแค็บกำลังยื่นเรื่องขออนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อนำเบรนพอร์ตออกจำหน่าย ซึ่งคาดว่าขั้นตอนนี้จะลุล่วงก่อนสิ้นปี โดยบริษัทมีแผนตั้งราคาอุปกรณ์พิเศษนี้ไว้ที่เครื่องละ 6,000 ปอนด์ (336,000 บาท)

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด...หากินได้ง่าย

20. สาหร่ายเป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

19. หัวหอมประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

18. มะนาวเป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

17. เมล็ดแฟลกซ์ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

16. กระเจี๊ยบน้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

15. ทับทิมตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

14. พืชตระกูลถั่ว(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

13. ขึ้นฉ่ายถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน บุหรี่ด้วย

12. แครอทเต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น

11. มะเขือพวงคนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุตเป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ ร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

9. กระเทียมจากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

8. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์ สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

7. กะหล่ำเต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

6. บีตรูตผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย

5. อะโวคาโดอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

4. ตำลึงผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

3. แอปเปิลประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

2. อัลมอนด์เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

สุดท้ายแล้ววววเกือบทุกบ้านมีแน่ๆค่ะ
หาง่าย กินง่าย
มันก็คือ

1. กล้วยมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

16คณะครุศาสตร์ชงทปอ.รื้อแอดมิชชัน ’54 ชี้ PAT5 รับเด็กไม่ตรงสเปก

ปธ.ที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ 16 สถาบัน เสนอ ทปอ.ปรับเกณฑ์แอดมิชชัน ’54 แนะคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ สอบ PAT อื่น นอกจาก PAT 5 ด้วย

รศ.ดร.มนตรี แย้มกสิกร ประธานที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ 16 สถาบัน และรองประธานสภาคณบดีครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ กล่าวถึงการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง การคัดเลือกนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชัน ว่า คณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ได้หารือร่วมกันและเห็นว่าการแอดมิชชันที่ผ่านมา คณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ยังมีปัญหาว่าคัดเด็กได้ไม่ตรงตามความต้องการของคณะ เนื่องจากเกณฑ์การแอดมิชชันกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ให้นำคะแนนความถนัดทางวิชาชีพครู หรือ PAT5 มาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการแอดมิชชันเพียงอย่างเดียว ขณะที่ในความเป็นจริงการเรียนครูมีหลายสาขาวิชาเอก เช่น ครูวิทยาศาสตร์ ครูศิลปศาสตร์ ครูภาษาอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้น การใช้ PAT5 เพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถสะท้อนความรู้ความสามารถในตัวเด็กได้ตรงกับสาขาวิชานั้นๆ

รศ.ดร.มนตรี กล่าวต่อไปว่า คณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะหารือร่วมกัน เพื่อเสนอต่อที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ว่า ในการแอดมิชชันปี 2554 จะขอปรับเปลี่ยนเกณฑ์ โดยเสนอให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นอกจากจะต้องสอบ PAT5 แล้ว ยังต้องสอบ PAT ด้านอื่นๆ ประกอบด้วย เพื่อให้ได้นักศึกษาที่มีทั้งความถนัดทางวิชาชีพครู และความถนัดในสาขาวิชาที่ตนเลือกเรียน เพราะผู้ที่จะไปเป็นครูที่ดีนั้น จะต้องมีความรู้ทางวิชาการอย่างเข้มข้น และมีจิตวิญญาณในความเป็นครูควบคู่กันไปด้วย โดยที่ผ่านมานักศึกษาคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะมีปัญหาด้านวิชาการค่อนข้างมาก ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาคณบดีครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะมีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในเร็วๆ นี้ เพื่อทำเป็นข้อสรุปเกณฑ์การแอดมิชชัน ปี 2554 และเสนอต่อ ทปอ.ต่อไป

ขอบคุณ : ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2552 05:48 น.

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ชุดอภิเษก” ของจักรพรรดิญี่ปุ่น เมื่อ 50 ปีก่อน

เอเอฟพี - สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เสด็จไปยังพิพิธภัณฑ์ เพื่อชมนิทรรศการพิเศษชื่อ “ความทรงจำแห่งจักพรรดิและจักพรรดินี และความสัมพันธ์กับมนุษย์ 1” ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวโรกาสที่จักรพรรดิญี่ปุ่นอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินีมิชิโกะ ครบรอบ 50 ปีในปีนี้ ทั้งยังเป็นปีที่ครบรอบการครองราชย์ 20ปี ของจักรพรรดิอากิฮิโตะด้วย

พิพิธภัณฑ์นี้รวบรวมเครื่องใช้ของราชวงศ์ ตั้งอยู่ภายในเขตพระราชวังอิมพีเรียล กลางกรุงโตเกียว งานนี้มีชุดที่พระองค์ใช้ในงานอภิเษกให้ดูให้ชมกันด้วย





วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประกาศผล GAT-PAT ไร้ปัญหาเว็บไม่ล่ม

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้แถลงข่าวการประกาศผลการทดสอบความถนัดทั่วไปหรือ GAT และการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการหรือ PAT ครั้งที่ 2/2552 ว่า สทศ.ได้ประกาศผลสอบผ่านทางเว็บไซต์ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 14 ส.ค. พบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี และเว็บไซต์ไม่ล่ม โดยเท่าที่ตรวจสอบพบว่าในช่วงแรกมีผู้เข้ามาดูผลประมาณ 10% ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากทำให้ระบบรองรับได้ ส่วนผู้เข้าสอบคนใดต้องการจะขอดูกระดาษคำตอบสามารถยื่นคำร้อง ได้ที่ สทศ.ตั้งแต่วันที่ 24-31 ส.ค. นี้

ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวต่อไปว่า สำหรับค่าสถิติพื้นฐานผลการสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 2/2552 คะแนนเต็มวิชาละ 300 คะแนน ประกอบด้วย GAT รวม 2 ตอน มีผู้เข้าสอบรวม 295,547 คน คะแนนต่ำสุด 0 คะแนนสูงสุด 287.5 และค่าเฉลี่ย 84.82 โดย GAT ตอนที่ 1 เข้าสอบ 295,547 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 150 ค่าเฉลี่ย 49.31 GAT ตอนที่ 2 เข้าสอบ 295,547 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 142.5 ค่าเฉลี่ย 43.85 ส่วน PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ เข้าสอบ 189,086 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 300 เฉลี่ย 87.11 PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ เข้าสอบ 177,372 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 235 เฉลี่ย 87.93 PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ เข้าสอบ 58,227 คน ต่ำสุด 5 สูงสุด 260 เฉลี่ย 97.86 PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เข้าสอบ 30,466 คน ต่ำสุด 3 สูงสุด 189 เฉลี่ย 80.75 PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู เข้าสอบ 98,078 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 219 เฉลี่ย 136.87 PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ เข้าสอบ 27,797 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 168 เฉลี่ย 102.75 PAT 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส เข้าสอบ 7,633 คน ต่ำสุด 3 สูงสุด 261 เฉลี่ย 89.3 PAT 7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน เข้าสอบ 1,095 คน ต่ำสุด 36 สูงสุด 273 เฉลี่ย 97.8 PAT 7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น เข้าสอบ 6,662 คน ต่ำสุด 0 สูงสุด 294 เฉลี่ย 95.98 PAT 7.4 ความถนัดทางภาษาจีน เข้าสอบ 11,206 คน ต่ำสุด 3 สูงสุด 264 เฉลี่ย 77.75 PAT 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ เข้าสอบ 453 คน ต่ำสุด 48.75 สูงสุด 296.25 เฉลี่ย 131.37 PAT 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี เข้าสอบ 494 คน ต่ำสุด 51 สูงสุด 186 เฉลี่ย 86.36

“ผลการสอบครั้งที่ 2 ในภาพรวมไม่แตกต่างจากครั้งที่ 1 โดยคะแนนสอบเฉลี่ยไม่ถึงครึ่ง น่าจะเป็นเพราะข้อสอบดังกล่าวเป็นการวัดเพื่อแข่งขันจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจ แต่ถ้านักเรียนทำคะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือ O-NET ต่ำจะน่าตกใจมากกว่า เพราะเป็นการสอบวัดความรู้พื้นฐาน แต่น่าสังเกตว่าคะแนนเฉลี่ยการสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 2 มีหลายวิชาที่ลดลง เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ทั้งที่หลายคนเชื่อว่าการสอบครั้งที่ 2 คะแนนน่าจะดีขึ้น ซึ่ง สทศ.คงต้องมาวิเคราะห์ลงลึกว่าเป็นเพราะอะไร หรือแม้แต่จำนวนผู้สมัครสอบซึ่งครั้งที่ 1 สมัคร ประมาณ 2.2 แสนคน ครั้งที่ 2 สมัคร 3.6 แสนคน และครั้งที่ 3 สมัคร 4.2 แสนคน แสดงว่านักเรียนยังวางแผนตัวเองไม่ได้ว่าจะสอบกี่ครั้งหรือควรสอบวิชาอะไรบ้าง รวมทั้งคงต้องดูฝ่ายแนะแนวของโรงเรียนด้วยว่ามีการแนะนำและบอกเด็กอย่างไรบ้าง” ศ.ดร.อุทุมพร กล่าว.

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลายคณะแห่เพิ่มองค์ประกอบแอดมิชชั่น

ทปอ.สรุปองค์ประกอบ และค่าน้ำหนักของแอดมิชชั่นกลาง ในอนาคต รวม 7 กลุ่ม 31 องค์กร ต่อคณะทำงานแอดมิชชั่นฟอรั่มแล้ว

จากการประชุมวิชาการของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เรื่องระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือแอดมิชชั่น ที่ ม.บูรพา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมกลุ่มสาขาวิชา คณะ สภาคณบดี และสภาวิชาชีพต่างๆ ได้สรุปองค์ประกอบและค่าน้ำหนักของแอดมิชชั่นกลางในอนาคตต่อคณะทำงานแอดมิชชั่นฟอรั่มแล้ว จำนวน 7 กลุ่ม 31 องค์กร ซึ่งกลุ่มที่มีข้อเสนอเปลี่ยนแปลง มากที่สุดคือ กลุ่มสภาคณบดีทางศิลปะ ซึ่งเสนอขอเพิ่ม PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ ออกเป็น 12 วิชา ได้แก่ PAT 6.1 ทฤษฎีความรู้ทั่วไปทางศิลปะ PAT 6.2 ศิลปะการแสดง PAT 6.3 นาฏศิลป์ไทย PAT 6.4 นาฏศิลป์สากล PAT 6.5 ดนตรีไทย PAT 6.6 ดนตรีสากล PAT 6.7 ออกแบบทัศนศิลป์ PAT 6.8 ออกแบบภายใน PAT 6.9 ออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ PAT 6.10 ออกแบบ 3 มิติ PAT 6.11 วาดเส้น PAT 6.12 องค์ประกอบศิลป์สร้างสรรค์

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า กลุ่มวิทยาศาสตร์, กลุ่มเกษตรศาสตร์, กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น ทันตแพทยสภา, สภากายภาพบำบัด, ภาคีคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ ขอให้ PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ โดยแยก 3 วิชาคือ PAT 2.1 เคมี PAT 2.2 ชีววิทยา PAT 2.3 ฟิสิกส์ ส่วนกลุ่มคณะด้านพลศึกษาขอเพิ่ม PAT พละ สภานิติศึกษา ขอเพิ่ม PAT นิติ คณะรัฐศาสตร์ ขอเพิ่ม PAT สังคมศึกษา และ PAT ภาษาอังกฤษ คณะนิเทศศาสตร์ ขอเพิ่ม PAT นิเทศศาสตร์

-------------------------------------------------------------------------------------------------

โหๆๆๆๆสงสารเด็กไทยจังเลยอ่ะ อะไรมันจะเยอะแยะปานนี้

-------------------------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Fête des mère


A mothers like a ray of sunshine
Whose heart is just pure gold.
A mother beams with happiness
that'll never grow old.
She'll stay in my heart forever
As if she were inside
We've shared so many things,
We laughed, we smiled, we cried.
I love my mother very much
and still throughout the years
We share the mother daughter love,
and always when I fear,
I know I'll always have my mother
somewhere very near


------------------------------------------------------------------------
^u^ อุ้มรักแม่ที่สุดในโลก ^u^
------------------------------------------------------------------------