Assumption University

Quelle heure est-il????

++ My musiC ++

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เบรนพอร์ต ช่วยคนตาบอดมองเห็นผ่าน ‘ลิ้น’

เดลิเมล์ – นักวิจัยเมืองลุงแซมพัฒนาอมยิ้มอิเล็กทรอนิกส์ที่จะช่วยให้คนตาบอด ‘มองเห็น’ ผ่าน ‘ลิ้น’ คาดนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้
นวัตกรรมนี้จะแปลงภาพที่กล้องขนาดจิ๋วจับเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ลิ้นสามารถรู้สึกได้ จากนั้น เส้นประสาทจะส่งข้อความไปยังสมองที่จะเปลี่ยนสัญญาณดังกล่าวกลับมาเป็นภาพอีกครั้ง
หลังจากทดลองใช้เพียงวันเดียว อาสาสมัครสามารถมองเห็นรูปทรง ความเคลื่อนไหว และอ่านป้ายสัญญาณได้ บางคนใช้เวลาฝึกแค่ 15 นาทีเท่านั้น
อุปกรณ์ ‘เบรนพอร์ต’ ที่คาดว่าจะสามารถนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการแทนที่สุนัขนำทางหรือไม้เท้า แต่จะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อยกระดับชีวิตของผู้มีปัญหาสายตา
ดร.วิลเลียม ไซเปิล จากไลท์เฮาส์ อินเตอร์เนชันแนล องค์กรวิจัยและส่งเสริมสุขภาพดวงตา ที่ทำการทดสอบอุปกรณ์นี้ เล่าว่าอาสาสมัครตาบอดสี่คนเรียนรู้วิธีค้นหาประตูทางออกและปุ่มบนลิฟต์ เลือกหยิบมีด ส้อมและถ้วยกาแฟบนโต๊ะอาหาร อ่านตัวหนังสือและตัวเลขได้อย่างรวดเร็ว
“ตอนแรกผมยังงงๆ ว่าเบรนพอร์ตจะทำอะไรได้ จนกระทั่งอาสาสมัครคนหนึ่งร้องไห้ออกมาหลังจากมองเห็นตัวหนังสือครั้งแรก”
โรเบิร์ต เบ็กแมน จากไวแค็บ ผู้พัฒนาเบรนพอร์ต อธิบายว่า “อุปกรณ์นี้ช่วยให้คนตาบอดได้รับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวที่ปรากฏบนลิ้น ช่วยให้คนตาบอดสามารถระบุสิ่งของ เช่น ลูกบอล หรือสังเกตเห็นตัวหนังสือหรือตัวเลข อาจไม่ถึงขั้นอ่านหนังสือได้ แต่พวกเขาจะสามารถอ่านป้ายสัญญาณได้”
เบรนพอร์ตประกอบด้วยกล้องวิดีโอขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในแว่นกันแดดที่ผู้ใช้สวม สัญญาณจากกล้องจะถูกส่งผ่านสายเคเบิลไปยังอุปกรณ์ควบคุมแบบพกพาขนาดพอๆ กับโทรศัพท์มือถือ จากนั้นอมยิ้มที่อยู่บนลิ้นจะแปลงสัญญาณนั้นออกมาเป็นรูปทรง
ทั้งนี้ อุปกรณ์ควบคุมจะแปลงภาพเป็นภาพสีขาว-ดำ-เทาความละเอียดต่ำ ซึ่งจะถูกนำกลับมาสร้างใหม่เป็นตารางขั้วอิเล็กโทรด 400 ขั้ว ขนาดใกล้เคียงกับสแตมป์ บนอมยิ้ม
ขั้วอิเล็กโทรดแต่ละขั้วจะสั่นตามปริมาณแสง ณ จุดนั้นของภาพ สีขาวจะสั่นแรงที่สุด สีเทาสั่นอ่อนๆ ส่วนสีดำไม่มีสัญญาณใดๆ เลย
อุปกรณ์ควบคุมช่วยให้ผู้ใช้ซูมเข้า-ออก ปรับคอนทราสต์ของภาพและความแรงของสัญญาณการสั่น
แม้เริ่มแรกผู้ใช้ ‘รู้สึก’ ถึงภาพบนลิ้น แต่หลังจากฝึกใช้ จะสามารถเรียนรู้การกระตุ้นให้สัญญาณนั้นทำงานในส่วน ‘ภาพ’ ในสมอง
“เป็นภารกิจในการเรียนรู้ ซึ่งไม่ต่างจากการเรียนรู้วิธีขี่จักรยาน และคล้ายกับวิธีที่ทารกเรียนรู้ในการมองเห็น” เอมี อาร์โนลดัสเซน นักประสาทวิทยาศาสตร์ของไวแค็บที่ตั้งอยู่ในวิสคอนซิน สหรัฐฯ บอก
ขณะนี้ ไวแค็บกำลังยื่นเรื่องขออนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อนำเบรนพอร์ตออกจำหน่าย ซึ่งคาดว่าขั้นตอนนี้จะลุล่วงก่อนสิ้นปี โดยบริษัทมีแผนตั้งราคาอุปกรณ์พิเศษนี้ไว้ที่เครื่องละ 6,000 ปอนด์ (336,000 บาท)

เดลิเมล์ – นักวิจัยเมืองลุงแซมพัฒนาอมยิ้มอิเล็กทรอนิกส์ที่จะช่วยให้คนตาบอด ‘มองเห็น’ ผ่าน ‘ลิ้น’ คาดนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้


นวัตกรรมนี้จะแปลงภาพที่กล้องขนาดจิ๋วจับเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ลิ้นสามารถรู้สึกได้ จากนั้น เส้นประสาทจะส่งข้อความไปยังสมองที่จะเปลี่ยนสัญญาณดังกล่าวกลับมาเป็นภาพอีกครั้ง


หลังจากทดลองใช้เพียงวันเดียว อาสาสมัครสามารถมองเห็นรูปทรง ความเคลื่อนไหว และอ่านป้ายสัญญาณได้ บางคนใช้เวลาฝึกแค่ 15 นาทีเท่านั้น


อุปกรณ์ ‘เบรนพอร์ต’ ที่คาดว่าจะสามารถนำออกจำหน่ายได้ปลายปีนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการแทนที่สุนัขนำทางหรือไม้เท้า แต่จะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อยกระดับชีวิตของผู้มีปัญหาสายตา


ดร.วิลเลียม ไซเปิล จากไลท์เฮาส์ อินเตอร์เนชันแนล องค์กรวิจัยและส่งเสริมสุขภาพดวงตา ที่ทำการทดสอบอุปกรณ์นี้ เล่าว่าอาสาสมัครตาบอดสี่คนเรียนรู้วิธีค้นหาประตูทางออกและปุ่มบนลิฟต์ เลือกหยิบมีด ส้อมและถ้วยกาแฟบนโต๊ะอาหาร อ่านตัวหนังสือและตัวเลขได้อย่างรวดเร็ว


“ตอนแรกผมยังงงๆ ว่าเบรนพอร์ตจะทำอะไรได้ จนกระทั่งอาสาสมัครคนหนึ่งร้องไห้ออกมาหลังจากมองเห็นตัวหนังสือครั้งแรก”


โรเบิร์ต เบ็กแมน จากไวแค็บ ผู้พัฒนาเบรนพอร์ต อธิบายว่า “อุปกรณ์นี้ช่วยให้คนตาบอดได้รับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวที่ปรากฏบนลิ้น ช่วยให้คนตาบอดสามารถระบุสิ่งของ เช่น ลูกบอล หรือสังเกตเห็นตัวหนังสือหรือตัวเลข อาจไม่ถึงขั้นอ่านหนังสือได้ แต่พวกเขาจะสามารถอ่านป้ายสัญญาณได้”


เบรนพอร์ตประกอบด้วยกล้องวิดีโอขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในแว่นกันแดดที่ผู้ใช้สวม สัญญาณจากกล้องจะถูกส่งผ่านสายเคเบิลไปยังอุปกรณ์ควบคุมแบบพกพาขนาดพอๆ กับโทรศัพท์มือถือ จากนั้นอมยิ้มที่อยู่บนลิ้นจะแปลงสัญญาณนั้นออกมาเป็นรูปทรง


ทั้งนี้ อุปกรณ์ควบคุมจะแปลงภาพเป็นภาพสีขาว-ดำ-เทาความละเอียดต่ำ ซึ่งจะถูกนำกลับมาสร้างใหม่เป็นตารางขั้วอิเล็กโทรด 400 ขั้ว ขนาดใกล้เคียงกับสแตมป์ บนอมยิ้ม


ขั้วอิเล็กโทรดแต่ละขั้วจะสั่นตามปริมาณแสง ณ จุดนั้นของภาพ สีขาวจะสั่นแรงที่สุด สีเทาสั่นอ่อนๆ ส่วนสีดำไม่มีสัญญาณใดๆ เลย


อุปกรณ์ควบคุมช่วยให้ผู้ใช้ซูมเข้า-ออก ปรับคอนทราสต์ของภาพและความแรงของสัญญาณการสั่น


แม้เริ่มแรกผู้ใช้ ‘รู้สึก’ ถึงภาพบนลิ้น แต่หลังจากฝึกใช้ จะสามารถเรียนรู้การกระตุ้นให้สัญญาณนั้นทำงานในส่วน ‘ภาพ’ ในสมอง


“เป็นภารกิจในการเรียนรู้ ซึ่งไม่ต่างจากการเรียนรู้วิธีขี่จักรยาน และคล้ายกับวิธีที่ทารกเรียนรู้ในการมองเห็น” เอมี อาร์โนลดัสเซน นักประสาทวิทยาศาสตร์ของไวแค็บที่ตั้งอยู่ในวิสคอนซิน สหรัฐฯ บอก


ขณะนี้ ไวแค็บกำลังยื่นเรื่องขออนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อนำเบรนพอร์ตออกจำหน่าย ซึ่งคาดว่าขั้นตอนนี้จะลุล่วงก่อนสิ้นปี โดยบริษัทมีแผนตั้งราคาอุปกรณ์พิเศษนี้ไว้ที่เครื่องละ 6,000 ปอนด์ (336,000 บาท)

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

สุดยอดอาหารล้างพิษ 20 ชนิด...หากินได้ง่าย

20. สาหร่ายเป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

19. หัวหอมประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

18. มะนาวเป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

17. เมล็ดแฟลกซ์ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

16. กระเจี๊ยบน้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

15. ทับทิมตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

14. พืชตระกูลถั่ว(เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

13. ขึ้นฉ่ายถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน บุหรี่ด้วย

12. แครอทเต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น

11. มะเขือพวงคนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุตเป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ ร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

9. กระเทียมจากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

8. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์ สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

7. กะหล่ำเต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

6. บีตรูตผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย

5. อะโวคาโดอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

4. ตำลึงผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

3. แอปเปิลประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

2. อัลมอนด์เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

สุดท้ายแล้ววววเกือบทุกบ้านมีแน่ๆค่ะ
หาง่าย กินง่าย
มันก็คือ

1. กล้วยมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

16คณะครุศาสตร์ชงทปอ.รื้อแอดมิชชัน ’54 ชี้ PAT5 รับเด็กไม่ตรงสเปก

ปธ.ที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ 16 สถาบัน เสนอ ทปอ.ปรับเกณฑ์แอดมิชชัน ’54 แนะคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ สอบ PAT อื่น นอกจาก PAT 5 ด้วย

รศ.ดร.มนตรี แย้มกสิกร ประธานที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ 16 สถาบัน และรองประธานสภาคณบดีครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ กล่าวถึงการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง การคัดเลือกนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชัน ว่า คณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ได้หารือร่วมกันและเห็นว่าการแอดมิชชันที่ผ่านมา คณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ยังมีปัญหาว่าคัดเด็กได้ไม่ตรงตามความต้องการของคณะ เนื่องจากเกณฑ์การแอดมิชชันกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ให้นำคะแนนความถนัดทางวิชาชีพครู หรือ PAT5 มาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการแอดมิชชันเพียงอย่างเดียว ขณะที่ในความเป็นจริงการเรียนครูมีหลายสาขาวิชาเอก เช่น ครูวิทยาศาสตร์ ครูศิลปศาสตร์ ครูภาษาอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้น การใช้ PAT5 เพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถสะท้อนความรู้ความสามารถในตัวเด็กได้ตรงกับสาขาวิชานั้นๆ

รศ.ดร.มนตรี กล่าวต่อไปว่า คณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะหารือร่วมกัน เพื่อเสนอต่อที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ว่า ในการแอดมิชชันปี 2554 จะขอปรับเปลี่ยนเกณฑ์ โดยเสนอให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ นอกจากจะต้องสอบ PAT5 แล้ว ยังต้องสอบ PAT ด้านอื่นๆ ประกอบด้วย เพื่อให้ได้นักศึกษาที่มีทั้งความถนัดทางวิชาชีพครู และความถนัดในสาขาวิชาที่ตนเลือกเรียน เพราะผู้ที่จะไปเป็นครูที่ดีนั้น จะต้องมีความรู้ทางวิชาการอย่างเข้มข้น และมีจิตวิญญาณในความเป็นครูควบคู่กันไปด้วย โดยที่ผ่านมานักศึกษาคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะมีปัญหาด้านวิชาการค่อนข้างมาก ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาคณบดีครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะมีการประชุมร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในเร็วๆ นี้ เพื่อทำเป็นข้อสรุปเกณฑ์การแอดมิชชัน ปี 2554 และเสนอต่อ ทปอ.ต่อไป

ขอบคุณ : ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2552 05:48 น.